top of page
  • Wix Facebook page

About Coffee

" กว่าจะได้เมล็ดกาแฟคั่วสดที่ดื่มกันมากมายในปัจจุบัน รู้ไหมว่าชาวไร่ที่ปลูกกาแฟต้องผ่านกระบวนการต่างๆตั้งแต่ปลูกจนมาถึงคั่วเมล็ดกาแฟนั้นค่อนข้างลำบากมากพอสมควร เมล็ดกาแฟที่เก็บได้ถ้าเทียบเป็นตัวเลขคือเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟจากต้น 100 กก.

ผ่านการล้างทำความสะอาด สีเปลือก แช่น้ำ ตากแห้ง ลอกเปลือก คัดเมล็ดที่สมบูรณ์ และสุดท้ายคั่วเมล็ดกาแฟ นำมาบรรจุถุงเพื่อจำหน่ายได้เพียง 10-20 กก.เท่านั้น."

เรื่องราวเกี่ยวกับกาแฟ

 Wet Process
Roasting Types

Wet Process หรือกระบวนการแบบเปียก เป็นขั้นตอนระหว่างการนำเอาเมล็ดกาแฟที่พึ่งเด็ดออกจากต้นไปจนถึงตากแห้งเพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟที่สมบูรณ์ วิธีการนี้ค่อนข้างใช้เวลาและต้นทุนสูงกว่ากระบวนการแบบแห้ง(Dry Process)แต่ให้ผลค่อนข้างดีต่อเมล็ดกาแฟ โดยเริ่มจากหลังการเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟแล้วก็นำมาคัดเมล็ดที่สมบูรณ์มาล้างน้ำทำความสะอาดแล้วนำมาสีด้วยเครื่องเพื่อเอาเปลือกออก

ต่อด้วยการเอาไปแช่น้ำลอกเมือกของเมล็ดกาแฟซึ่งอาจต้องแช่ทิ้งไว้เป็นวันๆเลยทีเดียวขั้นตอนนี้เราเรียกว่าการหมัก พอถึงระยะเวลาตามที่กำหนดหรือเมือกที่ติดมากับเมล็ดกาแฟหลุดออกมาหมดแล้ว(ขั้นตอนสลัดเมือกค่อนข้างสำคัญมากเพราะมีผลต่อรสชาติกาแฟ) จากนั้นก็นำเมล็ดกาแฟไปตากแดดเพื่อไล่ความชื้นให้ออกมาโดยใช้เวลา 7-10 วันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย

What are the Differences Between Arabica and Robusta Coffee Beans?

1. ความรู้สึก - เมล็ดกาแฟโรบัสต้ามีความทนทาน  เมล็ดโรบัสต้าจึงทนต่อการเกิดความเสียหายของแมลงและอื่น ๆ จึงสามารถปลูกด้วยสารอินทรีย์ได้โดยไม่ต้องใช้สารกำจัดศัตรูพืชได้

2. รูปร่าง - เมล็ดกาแฟอาราบิก้ามีรูปทรงยืดออกและรูปทรงวงรีเหมือนในรูป ส่วนเมล็ดกาแฟโรบัสต้ามีความกลมและเล็กกว่า

 

3. คุณภาพของเมล็ดกาแฟ- แบ่งเป็นระดับ 1 ถึง 4 (1 คือคุณภาพต่ำสุดและสูงสุดคือ 4 ) โรบัสต้ามีการจัดอันดับคือ 1 ส่วนเมล็ดกาแฟอาราบิก้าโดยเฉลี่ยแล้ว อยู่ที่ระหว่าง 2 และ 4 (NB. ระบบการจัดลำดับให้เมล็ดกาแฟอาราบิก้ามีคะแนนเป็น 3.1, 3.2, 3.3 และอื่น ๆ .)

 

4. ปริมาณคาเฟอีน - แบ่งเป็นระดับ 1 ถึง 4 (1 มีปริมาณคาเฟอีนต่ำสุดและสูงสุดคือ 4 ) เมล็ดกาแฟอาราบิก้ามีปริมาณคาเฟอีนระหว่าง 0.9 และ 1.4 ส่วนเมล็ดกาแฟโรบัสต้าจะอยู่ระหว่าง 1.8 ถึง 4 ด้วยคะแนนเฉลี่ยคือ 2.2 (โรบัสต้ามีปริมาณคาเฟอีนมากกว่าอราบิก้าถึงสองเท่า)

 

5. รสชาติ - เมล็ดอาราบิก้ามักจะมีความหวานและความเป็นกรดมากกว่าโรบัสต้าที่มีเนื้อบางและรสชาติเหมือนธัญพืช โรบัสต้ายังมีแนวโน้มที่จะค่อนข้างขมและมีbodyมาก ดังนั้นถ้าคุณชอบกาแฟที่เข้มข้นคุณก็เลือกโรบัสต้าแต่ถ้าชอบความหวานความหอมก็เลือกอราบิก้า

 

6. สภาพภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้น - เมล็ดกาแฟอาราบิก้าจะต้องมีการเติบโตที่ 15-24 ° C. โรบัสต้าสามารถทนต่ออุณหภูมิประมาณ 18-26 ° C.

 

7. ปริมาณน้ำฝน - อาราบิก้าต้องการปริมาณน้ำฝนประมาณ 12,000 ถึง 22,000 มม. ในแต่ละปีเพื่อที่จะเติบโตตามความต้องการในส่วนของโรบัสต้าปริมาณน้ำฝนจะอยู่ระหว่าง 22,000 และ 33,000 มม.

 

8. ระดับความสูงที่เพิ่มขึ้น - โรบัสต้าสามารถปลูกได้ในพื้นที่ที่มีระดับความสูงไม่ถึง 800 เมตรและอุดมด้วยออกซิเจนเพื่อการเจริญเติบโต ส่วนอาราบิก้าสามารถเจริญเติบโตได้ที่ระดับความสูง ตั้งแต่ 800 ถึง 22,000 เมตรซึ่งก่อให้เกิดรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

9. โรบัสต้ามีระดับของคาเฟอีนที่มากกว่าเมล็ดอาราบิก้า โดยเมล็ดกาแฟโรบัสต้ามีปริมาณเกือบสองเท่าของเมล็ดกาแฟอราบิก้า

 

10. เมล็ดกาแฟอาราบิก้าจะมีรสหอมมาก ในขณะที่เมล็ดกาแฟโรบัสต้าจะให้รสชาติที่เข้มข้นมากกว่าโดยปราศจากกลิ่นหอม

 

11. ความแตกต่างของรูปทรงเมล็ดกาแฟอาราบิก้าจะแบนและยาวในขณะที่เมล็ดกาแฟโรบัสต้ามีรูปร่างกลมที่เห็นได้ชัดมาก

ระดับการคั่วชนิดต่างๆเพื่อรสชาติที่แตกต่างกันไล่ระดับจากอ่อนไปจนถึงเข้ม

(เกือบไหม้) ตั้งแต่อุณหภูมิ 200-250 องศา

How to Store Coffee beans

วิธีเก็บรักษาเมล็ดกาแฟที่ถูกต้อง

1.เมล็ดกาแฟมีอายุสั้น โดยเฉลี่ยประมาณ 2-3 อาทิตย์หลังจากเปิดออกจากถุงบรรจุ ความสดใหม่จะค่อยๆลดลงตามเวลา จึงควรซื้อในปริมาณที่พอดีกับนิสัยการดื่มของแต่ละคนไป

2.ศตูรของกาแฟคือ อากาศ/ความชื้น/แสงสว่าง/ความร้อน เพราะฉนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้เพื่อการเก็บรักษาความสดของเมล็ดกาแฟ

3.อย่าเก็บกาแฟไว้ในตู้เย็นหรือแช่แข็ง เพราะจะทำให้เกิดความชื้นขึ้นกับเมล็ดกาแฟได้             

                                                                                            

  

Perfect Shot

Perfect Shot คือการกลั่นกาแฟด้วยเครื่องทำกาแฟแบบ Espresso โดยมีมาตรฐานที่ยอมรับกันคือ กลั่นกาแฟให้ได้น้ำกาแฟ 1 Oz. ในเวลา 25 วินาที ช็อต Espresso ที่ได้จะนำไปทำเป็นกาแฟเมนูต่าง ๆ เช่นกาแฟลาเต้ หรือ

คาปูชิโนยอดฮิต การจะทำPerfect shot ให้ได้นั่นประกอบไปด้วยปัจจัย

ประกอบกันไม่ว่าจะเป็นเครื่องชง Espresso ที่ให้ความร้อนได้ถึง 92-94 องศา

การบดเมล็ดกาแฟให้ละเอียดและอัดแน่นเพื่อให้น้ำที่หยดต้องหยดแบบช้าๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็จะได้ ครีม่าของเอสเปรสโซอย่างแท้จริง

​© 2023 by INDUSTRIAL DESIGN. Proudly created with Wix.com

bottom of page